Rated: T
English - Romance/Friendship
Fandom: Resident Evil: Afterlife.
Pairing: Alice/Claire
By : startaxriotinme / Fanfiction.net
Translated to Thai : Anhy
Chapter 2 : Weight of the World.
ณ ทะเลทรายเนวาดา 18 เดือนที่ผ่านมา
อลิซตื่นขึ้นมา ดวงตาของเธอยังไม่สามารถสู้แสงที่ส่องมากระทบได้ จึงจำเป็นต้องขยับยกแขนข้างหนึ่งขึ้นบังมัน ด้วยการใช้มือที่สวมถุงมืออยู่ช่วยไม่ให้ถูกแสงนั้นทำร้าย แต่เพราะการกระทำนั่น เธอจึงได้เห็นอะไรบางอย่างแปลกใหม่ตรงข้อมือตัวเอง สร้อยข้อมือทำจากการสายไฟฟ้าถูกถักทอมาอย่างประณีต ซึ่งคงมีบางคนนำมาสวมไว้ให้เธอยามที่หมดสติอยู่
ฟื้นตัวได้จากอาการมึนงง จากการที่ใช้พลังพิเศษของตัวเอง อลิซหันมาเห็นสาวน้อยผมสีบลอนด์ซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลกำลังมองเธอมาด้วยดวงตาคมกริบ
“สวัสดี..” เด็กสาวเอ่ยขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้มแบบขัดเขิน
“เฮ้..” อลิซเอ่ยทักกลับคืน เธอขยับขึ้นเล็กน้อยจากท่านอนบนโซฟายาว โดยใช้ข้อศอกข้างหนึ่งเท้าไว้กับมันเพื่อช่วยในการพยุงตัวเอง แต่สายตาส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายอย่างหมายถึงสร้อยข้อมือ “นี่ของเธอเหรอ..”
เด็กสาวหลุบตาลงมองกับพื้นห้อง คล้ายจะต้องการปกปิดอาการหน้าแดงแต่รอยยิ้มไม่ห่างหายจากใบหน้าอ่อนเยาว์ เมื่อเอ่ยตอบกลับมา “ฉันให้คุณเมื่อคืน.. ของนำโชคน่ะ..”
อลิซส่งยิ้มกลับคืนให้เด็กสาว ว่าไปแล้วของขวัญเล็กๆน้อยๆชิ้นนี้มีความหมายดีเหมือนกัน แม้เธอจะรู้สึกว่าตัวเองหมดหวังไปแล้วกับการคิดถึงเรื่องโชคดีอะไรประมาณนี้ เพราะความหมายที่แฝงไว้เบื้องหลังของขวัญชิ้นนี้ ช่างหวานนัก
“ขอบใจนะ..” เธอกล่าวแล้วถามต่อ “ชื่ออะไรเหรอ..”
“เคมาร์ท..” เด็กสาวเอ่ยตอบ แล้วก็ได้เห็นความสงสัยจากใบหน้าของอลิซ เธอจึงชี้แจง “มันเป็นที่ที่พวกเค้าเจอฉัน.. แคลร์กับคนอื่น..หลายปีที่ผ่านมา..”
“มีชื่ออื่นอีกรึเปล่า..” สาวอายุมากกว่าถามต่อ
เคมาร์ทหรี่ตาเล็กน้อยและชำเลืองมองไปทางอื่น สีหน้าไม่สู้ดีนัก “ฉันไม่ชอบมัน.. และทุกๆคนที่ฉันรู้จักตอนนั้นก็ตายหมดแล้ว.. คงถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนมัน..”
อลิซรู้สึกได้เลยว่าสิ่งที่ได้ฟังกลับมามันเป็นเรื่องค่อนข้างละเอียดอ่อนและสะเทือนจิตใจคนตอบ เธอจึงเลี่ยงไม่พูดถึงมันอีก
“ก็คงจะจริงล่ะนะ..”
เสียงที่ดังมาจากทางหน้าต่าง พาให้เธอทั้งสองคนหันไปมอง เด็กบางคนกำลังซุบซิบอะไรบางอย่างระหว่างกัน แต่พออลิซหันไปมองพวกเขา พวกเขาก็พากันหลบลงจากกรอบของหน้าต่างนั่น เพียงบางคนที่พอจะกล้าบ้าง ยังคงเฝ้าจ้องสายตาของเธอที่มองไปยังพวกเขา
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเค้า..” อลิซถามกึ่งๆจะขบขันและสงสัยกับสิ่งที่ได้เห็น
“พวกเค้าคิดว่าคุณไม่ใช่คนจริงๆ พวกเค้าพูดถึงคุณกัน เล่าถึงเรื่องคุณอย่างกับว่าคุณเป็นบูกี้แมนหรือแดร็กคูล่า อะไรประมาณนั้น..” เคมาร์ทเล่าอย่างอายๆ
“อ่อ..” อลิซเอ่ยตอบอย่างเสียไม่ได้ “อะไรแบบนั้นล่ะมั้ง..”
เด็กสาวรีบแย้งขึ้น “แต่ฉันกลับไม่คิดว่าคุณเป็นแบบนั้น ฉันคิดว่าคุณน่ะเจ๋งสุดๆ คล้ายเจไดน่ะ..”
อลิซยิ้มกรุ้มกริ่ม เธอรู้สึกชอบการถูกวิจารณ์เกี่ยวกับความสามารถของเธอแบบนี้ขึ้นมา แต่ส่วนหนึ่งในใจยังรู้สึกว่าบทวิจารณ์ที่ฟังมาอันแรกดูจะใกล้เคียงตัวเธอมากกว่า
คนนั่งบนโซฟายาวลุกขึ้นนั่งในตำแหน่งที่ดีกว่าเมื่อครู่ คือปล่อยให้ขาทั้งสองของเธอลงสู่พื้นห้อง พ้นจากท่านอนอย่างสบาย
“อยู่ตรงนี้นานรึยัง..” อลิซถามขึ้น พร้อมพยักเพยิดใบหน้าไปทางเก้าอี้ที่เด็กสาวใช้นั่งอยู่ประกอบคำถามของเธอ
“ไม่นาน.. สักพักนึงน่ะค่ะ..” เคมาร์ทตอบกลับพร้อมส่ายศีรษะของเธอ “คาร์ลอสพาคุณมาตรงนี้เมื่อคืน แต่แคลร์อยู่กับคุณ เค้าบอกว่าเผื่อเวลาคุณตื่นจะได้เจอใครบ้าง ฉันเองก็อยากอยู่ แต่แคลร์ว่ามันอันตราย..”
“อย่างนั้นเอง..” อลิซเอ่ยขึ้นเพื่อเป็นการไม่เสียมารยาทกับคู่สนทนา
คำบอกเล่าของเด็กสาวกระตุ้นความสนใจให้เธอ อลิซติดตามกองคาราวานนี้อยู่ห่างๆมานานพอสมควร และตลอดเวลานั้นเธอก็คิดสงสัยอยากเห็นหน้าผู้หญิงที่สามารถรวบรวมคนมากมายเอาไว้ด้วยกันมาเป็นเวลานานคนนี้
คิดได้ดังนั้น เธอจึงเอ่ยขึ้น “พาฉันไปเจอเค้าหน่อยได้มั้ย..”
“อื้ม..แน่นอน..” เคมาร์ทตอบในทันที “ฉันคิดว่าคุณคงจะชอบเธอนะ แคลร์น่ะสุดยอด..”
“อืม..ฉันว่า.. ฉันเคยได้ยินนะ..”
พวกเธอลุกขึ้นจากจุดที่นั่งอยู่และออกเดินด้วยกันไปยังจุดหมายใหม่ภายนอกที่พักชั่วคราวนั่น ระหว่างนั้นเด็กสาวผมบลอนด์ก็เอ่ยเล่าเรื่องเกี่ยวกับผู้นำกองคาราวาน
“ครอบครัวของฉันตายตอนที่เกิดโรคระบาดนั่นน่ะค่ะ..” เคมาร์ทเล่าด้วยท่าทางเศร้าอีกครั้ง แต่ไม่นานนักเธอก็เปลี่ยนสีหน้า เมื่อเอ่ยเล่าต่อไป “แคลร์ทำให้ฉันนึกถึงพี่สาว แต่พี่สาวจริงๆของฉัน ชอบทำเหมือนฉันเป็นเด็กตลอด ส่วนแคลร์ไม่.. เธอจะปล่อยให้ฉันได้ช่วยทำอะไรๆ เกือบตลอดเวลา..”
“อ่อ..นั่นเลยทำให้เธอกลายมาเป็นคนในกองคาราวานของแคลร์เหรอ..”
เคมาร์ทเลิกคิ้วขึ้นกับคำถามนั้น “ฉันก็ไม่แน่ใจนักหรอกเรื่องนั้น.. ทุกๆคนเหมือนจะคอยหาเธอเพื่อหาคำตอบ แต่ฉันกลับคิดว่า มันไม่ใช่ว่าเราจะมาหาคำตอบได้หรอกนะกับทุกเรื่อง.. เรื่องมันเป็นเพราะมันต้องเป็น..”
ถึงเธอไม่ได้พูดอะไรมาก แต่อลิซก็รู้สึกประทับใจ เพราะการที่จะทำให้ใครๆเชื่อฟังคุณได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ทำสิ่งนั้นโดยไม่มีคำถามตามมา เป็นเครื่องหมายของการเป็นผู้นำที่แท้จริง ใช่แน่นอน
ด้านนอกมีคนจำนวนหนึ่งรวมตัวกันอยู่รอบๆหลุมฝังศพที่ถูกทำขึ้นใหม่ เมื่อพวกเธอเดินไปถึงกลุ่มคนนั่น อลิซแตะบ่าเคมาร์ทคล้ายเป็นสัญญาณ เด็กสาวพยักหน้าและเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับพวกเขา ส่วนอลิซเดินไปอีกมุมหนึ่ง
ไม่นานนักหลังจากนั้น คาร์ลอสก็เดินเข้ามาพร้อมสาวร่างสูงผมแดง จากท่าทางของหล่อน อลิซรู้ได้ทันทีเลยว่า..เป็นใคร แต่คาร์ลอสก็ช่วยยืนยันความคิดนั้นให้เธอ
“อลิซ.. นี่แคลร์ เรดฟิลด์..”
เธอจึงเอื้อมมือขึ้นเพื่อจับมือของผู้หญิงคนนั้นที่ยื่นมาให้ สัมผัสจากหล่อนแน่นแฟ้น มาพร้อมท่าทางที่เคร่งขรึม
“ขอบคุณมากนะสำหรับความช่วยเหลือ..” แคลร์เอ่ยขึ้น
อลิซพยักหน้ารับรู้ แต่ก่อนที่เธอจะเอ่ยพูดอะไรโต้ตอบกลับ สาวผมแดงก็ถูกเรียกตัว
“โทษทีนะ.. ฉันมีเรื่องต้องไปทำ..”
หลังจากแคลร์เดินห่างไป คาร์ลอสก็เริ่มก้าวเดิน โดยมีอลิซเดินตามหลัง
“เมื่อหกเดือนก่อน เธอสูญเสียคนในกองคาราวานไปครึ่งนึง..” เขาอธิบาย “อีกไม่นานก็คงจะมีคนตายมากกว่าคนอยู่นะ..”
ความคิดหนึ่งของเธอเกิดขึ้น มันเป็นในแง่ลบ ทำนองว่า..สาวสวยผมแดงคนนั้นแสดงออกเพียงเพื่อให้เกียรติเธอสำหรับความช่วยเหลือ เพราะที่เธอรู้เป็นอย่างดีก็คือ เธอควรจะมีส่วนในการเสียชีวิตของผู้คนรอบๆตัว แต่แคลร์ก็มีความรับผิดชอบพอที่จะให้ความสบายใจกับเธอแทน
“อลิซ อะไรเกิดขึ้นกับคุณ ทำไมคุณจากไปหลังจากเหตุการณ์ที่ดีทรอยด์..”
อลิซส่ายศีรษะตอบกลับพร้อมคำพูด “ฉันไม่มีทางเลือกอื่น พวกเค้าใช้ฉัน..”
“คุณหมายความว่ายังไง..” เขาถามต่องงๆ
“พวกเค้าสะกดรอยตามฉัน ฉันไม่สามารถอยู่ใกล้คุณ ไม่ว่าคนไหน ฉันไม่อยากให้พวกคุณต้องถูกฆ่า..”
เดินท้าทายแสงแดดกันต่อไป คาร์ลอสก็ถามขึ้นมา “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงหายตัวไป..”
อลิซพยักหน้ารับและเอ่ยตอบ “ฉันลอบเข้าไปในออฟฟิศของอัมเบรลล่า แฮคซ์เข้าไปในคอมพิวเตอร์ ดาวน์โหลดพิกัดดาวเทียมมา และอยู่ให้ห่างมันไว้..”
“หลังจากโลกล่มสลายแล้วแบบนี้.. ทำไมถึงยังจะต้องอยู่คนเดียว..”
คำตอบของอลิซคล้ายกับได้ตระเตรียมมาร่วมหลายปี “มันก็แค่..ปลอดภัยกว่า ถ้าฉันไม่ได้อยู่ใกล้ๆใครๆ..”
คาร์ลอสยิ้มและถามต่อ “แล้วทำไมถึงกลับมาล่ะ..”
เขาดึงเธอเข้าไปสู่อ้อมกอด และอลิซก็พยายามอย่างที่สุดที่จะกลั้นน้ำตาของเธอ อัมเบรลล่าเอาหลายๆอย่างไปจากเธอ มากที่สุดก็คือความสามารถที่เธอจะได้อยู่กับเพื่อนๆ เธอเริ่มเคยชินกับการอยู่ตามลำพังและการสูญเสีย
เขาและเธอละออกจากกัน จากนั้นอลิซก็รู้สึกได้ว่า คล้ายๆเธอจะถูกมองอยู่ มันแปลก พิกัดของดาวเทียมอยู่ห่างจากกองคาราวานและไม่น่าจะมาใกล้ราวชั่วโมง
เธอเช็คนาฬิกาที่สะกดรอยตามพิกัดของดาวเทียมนั่น มันแสดงถึงความเป็นปกติ แต่สัญชาตญาณของเธอบอกว่า มันต้องมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง
“บ้าจริง..” เธอเอ่ยขึ้น เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
คาร์ลอสจึงร้องถามเชสที่นั่งอยู่บนแทงก์ “เชส..กี่โมงแล้ว..”
เชสชำเลืองดูตรงข้อมือของเขาและตอบ “อืม..เที่ยงสิบสี่น่ะ คาร์ลอส.. ทำไม.. มีที่อื่นจะต้องไปรึ..”
คาร์ลอสยิ้มกับคำตอบนี้ ขณะที่อลิซพยายามที่จะไม่เพิ่มความรู้สึกกังวลของเธอ มันอาจจะเป็นแค่จินตนาการที่มากเกินไปของเธอเอง
“สงสัยฉันจะพารานอยด์..”
ทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกสักพัก ก่อนที่หนุ่มออสซี่จะมาเรียกคาร์ลอสไปช่วยเคลื่อนย้ายอะไรบางอย่าง เขาจึงขอตัวจากไป และก็เป็นอีกครั้งที่อลิซถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว เมื่อไม่มีอะไรอย่างอื่นที่จะทำดีกว่านี้ เธอจึงไปยืนพิงแท้งก์เติมน้ำมันที่อยู่ตรงกลางของแคมป์ เพราะผลจากไวรัสทีชนิดพิเศษต่อร่างกายของเธอ เธอจึงไม่สามารถจะทานแสงแดดได้นานๆ
เกือบจะครึ่งชั่วโมงต่อมา อลิซเงยหน้าขึ้นจากการมองอย่างว่างเปล่ากับผืนดิน จากเสียงของแคลร์ เพราะความที่มัววุ่นวายอยู่กับความคิดของตัวเอง เธอจึงไม่ทันสังเกตว่ามีผู้หญิงอีกคนเข้ามาหา
“มีเวลามั้ย..”
แคลร์กำลังถือแว่นกันแดดอยู่ในมือ และเธอก็นำมันเกี่ยวไว้กับคอเสื้อกล้าม สีหน้าอ่านได้ยากเหลือเกิน แต่อลิซก็พอจะรู้ว่าอะไรคือจุดเริ่มต้นของการสนทนาก่อนที่มันจะเริ่มเสียอีก
เธอจึงพยักหน้ารับ “อื้ม..”
“ขอบคุณอีกครั้งสำหรับเรื่องที่เธอทำ.. ไม่ว่าอะไรก็ตาม..” แคลร์เอ่ยขึ้น เวลานี้น้ำเสียงของเธอ เหมือนกับไม่ใช่พูดเพื่อมารยาทหรืออะไร เธอคล้ายยินดี
อลิซยิ้มบางๆตอบกลับพร้อมคำพูด “ไม่มีปัญหา..”
สาวผมแดงเปลี่ยนท่ามายืนกอดอก “อธิบายได้มั้ยว่าทำได้ยังไง..”
“ฉันหวังว่า..ฉันคงทำได้..” อลิซตอบกลับอย่างจริงใจ “พวกเค้าทำบางอย่างกับฉัน บางอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ ไม่สามารถควบคุมมัน..”
แคลร์ยกเท้าข้างหนึ่งของเธอเล่นและมองต่ำลง เธอทำเหมือนไม่แน่ใจ คล้ายกำลังชั่งใจกับคำพูดต่อมาของตัวเอง
“ฟังนะ.. ไม่ใช่ว่าเราไม่ปลื้มหรือไม่นึกขอบคุณกับสิ่งที่เธอทำ แต่เพราะว่า.. มันแค่... พวกเค้าคุยกันเรื่องความมหัศจรรย์ของเธอ และพวกเค้ากลัว..”
อลิซชำเลืองมองไปทางอื่นทันที “ฉันไม่โทษพวกเค้าหรอก.. มันถูกแล้ว.. ฉันก็กลัวเหมือนกัน..”
ทั้งสองเงียบไปอีกครั้ง และข้างในใจของอลิซก็บังเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา คงเพราะผลจากไวรัสที หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะความตึงเครียดจากภาษากายของสาวผมแดง หรือทั้งสองอย่าง เธอรู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
“ฉันเกลียดที่จะต้องทำแบบนี้..” แคลร์เริ่ม “แต่พวกเราเจอกับอันตรายมามากพอแล้วในทุกๆวัน ฉันไม่รู้ว่า..ฉันจะสามารถเจอกับอันตรายอื่นอีกที่จะเข้ามาใกล้บ้าน..”
ระหว่างที่สาวผมแดงเอ่ยคำของเธอ อลิซหลับตา แต่เมื่อเธอหันกลับไปมองแคลร์ มันรู้สึกได้ถึงความรู้สึกผิดอยู่ตรงนั้น บนใบหน้าของผู้นำ มันทำให้รู้ได้ง่ายขึ้นว่า แคลร์ไม่ได้อยากจะทำแบบนี้กับเธอ ที่ทำไปก็เพราะความรับผิดชอบต่อคนในกองคาราวาน
“ฉันเข้าใจ..” อลิซตอบและเอ่ยขึ้นใหม่ “ผู้คนชอบตายรอบๆตัวฉัน..”
“ไม่ใช่แค่เธอ..”
ประโยคนั้นดังก้องไปในอากาศหลายนาที และทั้งสองก็ชำเลืองมองไปยังแถวของไม้กางเขน ไกลออกไปมันถูกขุดมาหลายปีแล้ว เธอไม่ควรจะต้องแสดงความรับผิดชอบให้มากไปกว่านี้
“ฉันจะช่วยเธอ ตามอย่างที่ฉันทำได้ เพราะงั้น..ฉันจะทำในแบบของฉัน..” อลิซเอ่ยออกมาในที่สุด
แคลร์เอื้อมมือมาสัมผัสท่อนแขนของเธอ “ขอบคุณนะ..”
ด้วยความเข้าใจที่ตรงกัน สาวผมแดงก็ขอตัวจากไป แต่ความคิดหนึ่งดึงอลิซขึ้นมาให้เธอหยิบสมุดโน้ตที่เธอเจอวันก่อนและร้องเรียกไล่ตามหลังแคลร์
“เฮ้..แคลร์..”
เธอหันหลังกลับทันที “หืม..?”
“เธอควรจะดูนี่นะ..” อลิซบอกและส่งหนังสือให้แคลร์
แคลร์มองดูมันอย่างประหลาดใจและถาม “นี่อะไรน่ะ..”
อลิซไม่ได้เอ่ยตอบกลับมา แต่ปล่อยให้สาวอีกคนพลิกหน้ากระดาษของสมุดโน้ตเล่มนั้นดูเอง ดวงตาสีฟ้าอมเขียวของแคลร์ฉายแววความเคลือบแคลงและทำท่าไม่เชื่อกับสิ่งที่เธออ่าน
“นี่มันเรื่องจริงเหรอ..”
“ฉันก็คิดงั้นล่ะ..” อลิซตอบ “และเจ้าของมันก็คงจะคิดเหมือนกันล่ะนะ..”
สาวผมแดงพลิกดูสมุดนั้นไปเรื่อยๆ คล้ายกับกำลังพิจารณามัน
“เราจำเป็นต้องคุยกันเรื่องนี้..” แคลร์บอกและเริ่มออกเดินจากไปอีกครั้ง เธอเดินไปไม่กี่ก้าวก่อนจะหันหลังกลับมาหาอลิซ แล้วกล่าว “เธอควรจะมาด้วยนะ..”
ชั่วเวลาแห่งความคลุมเครือและสงสัยในคำบอกของอีกฝ่าย อลิซอนุญาตให้ตัวเองเพลิดเพลินไปกับความคิดที่จะไปอลาสก้ากับพวกเขา แต่เธอรู้ดีว่า ผู้นำกองคาราวานหมายความถึงการประชุม ไม่ใช่การจัดเตรียมการเดินทาง เธอส่ายศีรษะตัวเองและเดินตามหลังสาวคนนั้นไป ขณะที่เธอเดินไปรวบรวมแกนนำของกลุ่มเพื่อกับพวกเขาในเรื่องที่เพิ่งค้นพบ
พวกเขารวมตัวกันในรถคันหนึ่งในขบวนและพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นร้อน
“แคลร์.. การส่งสัญญาณนี่ เป็นอะไรที่ดีที่สุดเราเจอมาในหลายเดือนเลยนะ..” ไมกี้เอ่ยโต้แย้ง หนุ่มออสซี่ดูเหมือนจะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น
“แต่..อลาสก้า.?” แคลร์ค้าน ยังคงไม่มั่นใจ
“เราจำเป็นต้องไปเช็คมันนะ..” เขายืนกราน “เราไม่ควรปล่อยผ่าน..”
สาวผมแดงยังไม่หวั่นไหวในความคิดของตัวเอง เธอเอ่ยขึ้น “แล้วคนอื่นๆว่าไงล่ะ.. เรื่องนี้..”
“เอ่อ..มันไกลมาก..” เชสคัดค้าน
แคลร์จึงกล่าวต่อ “และตรงนั้นมันจะมีอะไร.. เธอจะการันตีได้มั้ยว่า มันจะมีคนที่มีชีวิตอยู่ที่นั่น..”
“แคลร์.. ก็สัญญาณมันบอกว่า----”
ผู้นำเอ่ยตัดคำของไมกี้ในทันที “มันส่งมาตั้งหกเดือนมาแล้วนะ กี่ครั้งแล้วที่เราได้รับสัญญาณ แล้วเราก็ไป กี่ครั้งที่เราไปไม่ทัน..”
หลังจากที่ไม่มีเสียงใดๆเอ่ยขึ้นอีก อลิซจึงเป็นคนสุดท้ายที่เอ่ยพูดขึ้น
“สัญญาณนั่นบอกมาว่าไม่มีการติดเชื้อ มันแยกตัวออกไป มันปลอดภัย.”
แคลร์หันหนี “คนในกองคาราวานไว้ใจฝากชีวิตไว้กับฉัน พวกเค้าไม่ต้องการเพ้อฝัน..”
คาร์ลอสเงยขึ้นมองแคลร์และพูดขึ้น “บางทีมันอาจจะเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆก็ได้นะ มองพวกเค้าสิ..แคลร์ หกเดือนที่ผ่านมา เรามีกันอยู่ห้าสิบ จากนั้นสี่สิบ และตอนนี้น้อยกว่าสามสิบ พวกเค้าเริ่มจะยอมแพ้กันแล้ว พวกเค้าต้องการ.. ต้องการอะไรที่เรียกว่า..ความหวัง..”
อลิซมองดูใบหน้าของแคลร์ มันแฝงไว้ด้วยอารมณ์มากมาย คล้ายกับเธอกำลังแบกภาระหนักอึ้งไว้บนบ่า เธอเห็นใจและหวังว่า เธอจะสามารถทำอะไรได้บ้าง ไม่มีใครที่จะทนอะไรแบบนี้ไว้ได้ตามลำพัง
“โอเค..” แคลร์เอ่ยในที่สุด “เรียกทุกคนมารวมตัวกัน..”
คนอื่นๆออกจากรถที่ใช้ประชุมไป เหลือทิ้งไว้แค่ผู้นำ ซึ่งแคลร์ต้องอยู่ด้านบนเพื่อมองดูพวกเขา คนอื่นๆในกองคาราวาน
“เรามีเรื่องที่ต้องตัดสินใจกัน มันใหญ่และสำคัญเกินกว่าที่ฉันตัดสินใจแทนพวกคุณทุกคน นั่นคือโอกาส ที่นั่นมีคนรอดชีวิต..”
บางคนถามขึ้น “ที่ไหน..”
“อลาสก้า..” แคลร์ตอบและเอ่ยต่อ “มันเป็นโอกาส.. ที่นั่นไม่มีการติดเชื้อ เพราะมันไกลเกินกว่าจะไปถึง แต่เราก็ไม่แน่ใจนัก เพราะงั้นเราก็จึงต้องเลือก เราอยู่ของเราแบบนี้ต่อไป.. หรือจะพยายามไปอลาสก้า.. อลาสก้า..?”
ทุกคนค่อยๆยกมือของตัวเองขึ้นอย่างช้าๆ
“อลาสก้า..” แคลร์เอ่ยย้ำเป็นอันสิ้นสุด
อลิซมองดูจากด้านหนึ่งของตัวรถ เห็นผู้คนส่งเสียงเชียร์และโอบกอดกันและกัน เธอรู้สึกได้ถึงความสุขเล็กๆในใจ ว่าสิ่งที่เธอค้นพบมาสามารถนำความหวังมาให้กับผู้คน
คาร์ลอสช่วยแคลร์ให้ลงมาจากรถ และเมื่อเธอถึงพื้น สาวผมแดงก็เดินพาตัวของเธอเข้ามายังจุดที่อลิซยืนอยู่ เธอเอื้อมมือขึ้นสัมผัสท่อนแขนข้างหนึ่งของอลิซ
“ฉันหวังว่า..เธอคิดถูก..” แคลร์เอ่ย คล้ายมีคำเตือนอยู่ในน้ำเสียงของเธอก่อนที่เธอจะหันไปทางอื่น
เพื่อสิ่งที่ดีกว่า หรือแย่กว่า แต่ตอนนี้พวกเขาได้ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เพราะ..อลาสก้า..
ฉันก็หวังว่า..ฉันคิดถูกด้วยเหมือนกัน..
To be continue…..
1 ความคิดเห็น:
มาแล้วๆๆ.. ตอนต่อจากคราวที่แล้ว.. อิอิ
คราวนี้เป็นการย้อนความหลังไปยังตอนที่อลิซกับแคลร์ได้เจอกันครั้งแรกสิเนาะ ครั้งที่อลิซใช้พลังจิตเผาฝูงอีกามรณะที่รุมโจมตีกองคาราวานของแคลร์ แต่ผลจากคราวนั้นก็ทำให้คนในกองคาราวานกล่าวถึงพลังของอลิซและกลัวมัน ไม่แปลกหรอกที่พวกเขาจะกลัว เพราะพวกเขาเป็นคนธรรมดาที่กำลังหนีตาย.. แต่อย่างน้อยก็น่าจะเข้าใจอลิซบ้างนะ ถ้าไม่ได้อลิซพวกเขาก็อาจจะไม่เหลือรอดเลยสักคนก็ได้ พลังบางอย่างถึงจะดูร้ายกาจแต่ถาใช้ไปในทางที่ดีมันก็จะช่วยเหลือผู้คนได้มากเลย..
ตอนนี้ก็สงสารอลิซนะ เหมือนตัวเองเป็นตัวอันตราย ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนเจ็บบ้าง ตายบ้าง.. ก็เลยต้องปลีกตัวไปอยู่คนเดียว เดินทางคนเดียว ไร้ญาติขาดมิตร.. ทั้งๆที่เธอก็แค่มนุษย์นะ แถมยังมีความรู้สึก ไม่ได้เหมือนไอ่พวกซอมบี้พวกนั้น.. อัมเบลล่าต้องรับผิดชอบกับการที่ทำให้อลิซเป็นแบบนี้.. แต่จริงๆเราก็แอบของใจมันนะ พวกอัมเบลล่า ที่ทำให้อลิซเท่ได้ขนาดนี้.. อิอิ
เอาล่ะ.. ในที่สุดจุดหมายใหม่ในการเดินทางต่อไปของกองคาราวานก็คือ อลาสก้า ที่ที่ไกลมาก แต่มันก็ไม่ไกลเกินกว่าใจคนหรอกนะ ถ้ามุ่งมั่นซะอย่าง ไปได้ถึงอยู่แล้ว.. และก็ขอภาวนาให้ไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรอีกระหว่างการเดินทางนะ.. ผนึกกำลังและดูแลเพื่อนๆให้ดีล่ะ.. แคลร์.. อลิซ.. (ตอนนี้เคมาร์ทน่ารักจัง.. อิอิ)
ขอบคุณมากค่ะ ที่แปลตอนต่อไปได้เร็วแบบนี้ ข้าพเจ้าอ่านแล้วชอบมากมาย ภาษาการแปลของท่านอ่านแล้วอินด้วยนะเนี่ย.. เก่งมากค่ะ.. ข้าพเจ้าเป็นกำลังใจให้ในการแปลตอนต่อไปนะคะ.. สู้ๆๆๆ
แสดงความคิดเห็น