For Hope I Would Give Everything
Rated: T
English - Romance/Friendship
Fandom: Resident Evil: Afterlife.
Pairing: Alice/Claire
By : startaxriotinme / Fanfiction.net
Translated to Thai : Anhy
Chapter 5 : More than this.
14 พฤษภาคม : อาร์คาเดีย
มันเป็นความมืดดำ ผืนน้ำใต้ล่างของอาร์คาเดีย ทั้งสงบและนิ่ง เมื่อเรือล่องลอยแล่นเรื่อยไปยังชายฝั่งแปซิฟิกเหนือ เพื่อตรงไปยังอลาสก้า หากว่าการล่องไปในครั้งนี้สามารถดำเนินต่อไปได้ด้วยความเร็วอันคงที่แล้วล่ะก็ พวกเขาคงจะถึงจุดหมายภายในเวลาไม่กี่วัน จากนั้นก็จะสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่บนสวรรค์ที่เยือกเย็นนั่น ชีวิตที่ไม่มีการติดเชื้อ ไม่มีความหวาดกลัว พวกเขาอาจจะทำตัวเหมือนคนสมัยยุคเรเนสซองที่เหล่ามวลมนุษยชาติรู้จักก็เป็นได้ ผลของความตื่นเต้นบนอาร์คาเดีย คล้ายเป็นอะไรที่เรียกว่าพลังงานแฝงไว้ในอากาศอย่างนั้น
อลิซยืนอยู่ตรงหางเสือของเรือ เพื่อสังเกตให้แน่ใจว่าสิ่งต่างๆเป็นไปตามทางของมัน อีกชั่วโมงต่อไปข้างหน้า พวกเธอจะทิ้งสมอเรือและจะมีคนอื่นที่จะทำงานแทนเธอตรงนี้ เพื่อให้ความกังวลต่างๆหมดไป คนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถไว้ใจได้จะทำหน้าที่อยู่ที่ห้องควบคุมเรือ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
ความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่น ไม่เคยห่างหายไปจากใจของอลิซ และในที่สุดสิ่งนั้นก็เหมือนจะถูกต้อง และเธอก็มีผู้คนที่เธอแคร์อยู่ตรงนี้กับเธอ ปลอดภัย มันเป็นเวลาหกปีมาแล้วกับความพยายามนี้ นานเท่านานกับความกังวลใจอันนั้น
ประตูถูกเปิดขึ้น แทรกเข้ามาในความคิดที่ล่องลอยไปของเธอ และเธอก็ยิ้มให้กับผู้มาใหม่คนนั้นที่มาได้ถูกจังหวะจริงๆ
“เฮ้..” อลิซพูดขึ้น ความประหลาดใจอยู่ในน้ำเสียงของเธอ “ฉันคิดว่าเป็นคริสซะอีกนะที่เป็นเวรต่อไป..”
“ใช่..เค้านั่นแหละ.. แต่ฉันเบื่อน่ะ..” แคลร์เอ่ยตอบพร้อมยักไหล่ เธอเดินเข้าห้องมาและกระโดดอย่างระมัดระวังขึ้นนั่งบนเคาท์เตอร์ข้างๆอลิซ กลอกตาไปมาขณะที่เธอเอ่ยต่อ “ลูเทอร์พล่ามแต่เรื่อง “วันพระสิริ” มันไม่ใช่ไอเดียที่ดีในเวลานี้เลย..”
อลิซหัวเราะ “เธอยังไม่ชอบเค้าอยู่อีกเหรอ..ฮึ..?”
แคลร์จ้องกลับมาหาเธอ แล้วเอ่ยตอบ “ไม่.. ฉันไม่ชอบสายตาที่เค้ามองเธอ..”
ด้วยความฉงนใจ อลิซจึงถามขึ้น “หึงเหรอ..?”
“แล้วฉันควรเป็นแบบนั้นมั้ยล่ะ..”
มันเป็นคำถามกว้างๆเหมือนขว้างหินถามทางและไม่ใช่ทั้งหมดที่เธอคาดไว้ เมื่อเธอมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าอมเขียวคู่นี้ เธอสงสัยเหลือเกินว่า แคลร์จำอะไรได้มากเท่าไหร่ หลังจากที่พวกเธอมาถึงอาร์คาเดีย สาวผมแดงดูคล้ายจะเหมือนคนเดิมที่เคยเป็น ทุกวันคืนที่ผ่านไป ยิ่งเพิ่มขึ้นทุกวัน และมันก็กลายเป็นว่าแคลร์เพิ่มความสนใจในตัวอลิซมากขึ้น และรับรู้ว่าอลิซก็สนใจเธอ แต่เธอกลับไม่เคยอ้างถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างกันในเนวาดาเลย การแสดงออกของเธอในเวลานี้ เหมือนจะบอกว่าเธอจำได้ คำถามคือว่า..เมื่อไหร่และความทรงจำตรงช่วงไหนที่กลับคืนมา
อลิซขยับตัวเข้ามาพิงเคาท์เตอร์ ใกล้ตัวเธอแต่ไม่ได้สัมผัส
“ไม่หรอกน่า.. เค้าไม่ใช่สเป็คฉัน..” เธอตอบและค่อยๆเผยรอยยิ้มบนริมฝีปากของตัวเอง เธอสะกิดแคลร์ด้วยข้อศอกและเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น “ฉันชอบสาวผมแดงขี้โมโหมากกว่า..”
แคลร์ส่ายศีรษะเพราะคำกล่าวนั้นและหัวเราะเบาๆ แต่สีหน้าของเธอกลับเปลี่ยนไปในไม่กี่นาที
“อลิซ.. ฉันแค่อยากจะบอกว่า..ฉันขอโทษ ฉันชอบใส่อารมณ์กับเธอตลอดเวลา เพราะเธอน่ะเป็นเป้าหมายที่ง่ายมากสำหรับเวลานั้น..”
“ไม่หรอก.. เธอถูกแล้ว.. มันเป็นความผิดของฉัน..”
สาวอายุน้อยกว่าเอื้อมมือขึ้นและค่อยๆใช้ปลายนิ้วสัมผัสกับแขนของอลิซ แล้วพูดขึ้น “มันไม่ใช่หรอก.. ไม่ใช่ทั้งนั้น.. แม้กระทั่งเรื่องอลาสก้า..”
นี่มันทำให้อลิซตกใจอย่างแรงและดวงตาคู่สวยของเธอเบิกกว้างตาม “อะไรนะ..?”
“ฉันคิดว่าเธอนึกว่าฉันหลับ.. แต่ฉันได้ยินมันนะ เธอพูดว่า.. ‘ฉันขอโทษที่ปล่อยเรื่องนี้ให้เกิดกับเธอ’ แต่เธอก็ไม่มีทางรู้นี่ว่า อาร์คาเดียเป็นกับดัก มันแย่ที่สุด เรานึกว่า.. เราจะไม่เจออะไรเลย นอกจากหิมะกับน้ำแข็ง ไม่มีใครคิดฝันว่านี่จะมาจากอัมเบรลล่า..”
“ถึงอย่างนั้น ฉันก็น่าจะไปกับเธอ..”
อลิซแย้งอย่างขมขื่น “ปกป้องเธอ..”
แคลร์สอดนิ้วของเธอเข้ามาเกี่ยวกับของอลิซและกำมันเบาๆ “นี่อลิซ.. ฉันคิดมันมานานแล้วนะตลอดทางมาอลาสก้า สารภาพให้ก็ได้ว่า ยิ่งฉันทำแบบนั้นไปมากเท่าไหร่ ฉันยิ่งรู้สึกผิดกับสิ่งที่ฉันทำกับเธอ ฉันได้รู้ว่า บางครั้งสิ่งที่มันเกิดขึ้นมา มันก็ยากที่จะควบคุม และมันไม่มีประโยชน์เลยกับการที่เธอจะเกลียดตัวเอง หรือคนอื่นๆกับเรื่องที่เธอเปลี่ยนมันไม่ได้ เธอก็แค่ปล่อยให้มันผ่านไป อย่างที่ฉันทำ..”
อลิซชำเลืองตามองไปทางอื่นสักพัก แค่เพียงความรู้สึกผิดในใจเธอสามารถลบมันออกได้ง่ายๆ
เธอพึมพำขึ้น “พูดง่ายกว่าทำ..”
เมื่อเธอมองกลับมาหาแคลร์ มันไม่มีการตัดสินความถูกผิดอยู่ในดวงตาสีฟ้าอมเขียวนั่น แค่เพียงความอ่อนโยน อบอุ่นและอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้จังหวะการเต้นหัวใจของอลิซเพิ่มมากขึ้นในอกของเธอ
“มานี่สิ..” แคลร์เอ่ยเรียกและเธอก็ทำตาม สาวผมแดงแยกขาของเธอออก และอลิซก็คิดว่าที่คือการเชื้อเชิญให้เธอเดินเข้าไปอยู่ระหว่างกลางนั่น พาร่างกายของเธอทั้งสองเข้าหากันให้ใกล้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ น้ำเสียงของเธอเข้มข้นขึ้นเมื่อเธอพูดอีกครั้ง “บางทีฉันอาจช่วยเธอได้นะ..”
ระดับความสูงของเคาท์เตอร์ยังทำให้อลิซคงความสูงของเธอที่มากกว่าสาวตรงหน้า เมื่อแคลร์โอบรอบคอของอลิซและพาเธอขยับเข้าใกล้ หล่อนก็ยังต้องเงยหน้าขึ้นอีกเพียงเล็กน้อยเพื่อจุมพิตเธอ
อลิซส่งเสียงฮัมต่ำๆในลำคอเมื่อเธอรู้สึกว่าแคลร์สะกิดปลายเล็บเบาๆที่ต้นคอด้านหลัง ไม่เหมือนจุมพิตครั้งนั้นที่เนวาดา ตอนนี้เธอมีเวลาที่จะซึมซับความอ่อนนุ่มจากริมฝีปากของสาวผมแดง
เมื่อมันเพิ่มมากขึ้น จุมพิตกลายเป็นหนักหน่วงขึ้น หิวกระหาย อลิซสอดมือทั้งสองของเธอใต้หัวเข่าสองข้างของแคลร์ ดึงร่างหล่อนขึ้นเพื่อสัมผัสกับร่างกายของเธอให้มากยิ่งขึ้น
และเมื่อปลายลิ้นของอลิซลากไล้ไปที่ริมฝีปากของสาวผมแดง ปากของเธอก็เปิดออกเพื่อรับมันทันที สัมผัสแรกที่ลิ้นของแคลร์สัมผัสกับของเธอ เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน สิ่งที่อลิซทำได้ตอนนี้คือ ไม่จับแคลร์กดลงกับเคาท์เตอร์ ถึงเธอจะต้องการมากเท่าไหร่ก็ตามที่จะทำสิ่งนั้นกับแคลร์ มีเซ็กซ์กับเธอตรงนี้ แต่ความคิดที่ว่าจะมีใครสักคนในจำนวนสองพันคนของผู้รอดชีวิตที่นี่มาเห็นเธอสองคนตรงนี้ มันก็มากพอที่จะทำให้เธอต้องอดทนระงับความรู้สึกนั้นไว้
แคลร์ยิ้มตรงริมฝีปากของเธอและละออกเพื่อเติมอากาศเข้าปอด แล้วเอ่ยถาม “ดีขึ้นมั้ย..”
“อืม...เกือบแล้ว..” อลิซตอบและขโมยจุมพิตต่อไป และต่อมาอีก และเรื่อยๆ ครั้งต่อมาที่เกิดขึ้นกลายมาเป็นล้ำลึกและให้ความรู้สึกมากกว่าที่แล้วๆ
เสียงของใครบางคนจากบานประตูด้านนอก ทำให้เธอทั้งสองละออกจากกันในที่สุด และพวกเธอก็รีบร้อนทำตัวเองให้เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น อลิซเดินกลับมาที่แผงควบคุมเรือและแสร้งว่าเช็คมัน
ประตูถูกเปิด นั่นคือ..คริส
“เฮ้..แคลร์ เคมาร์ทอยากให้เธอไปช่วยที่ใต้ท้องเรือน่ะ..” เขากล่าว
“อา..ได้สิ..” สาวผมแดงเอ่ยตอบ และกระโดดลงมาจากเคาท์เตอร์ “ขอเวลาแป๊บนะ..”
เขาพยักหน้าให้ คล้ายจะไม่คิดอะไรนอกเหนือจากนั้น “ไม่มีปัญหา..”
พอคริสจากไปแล้ว แคลร์ก็ขยับเข้ามาลดระยะห่างระหว่างตัวเธอกับอลิซ
เธอประทับจุมพิตครั้งสุดท้ายให้และพูด “แล้วเจอกันนะ..”
อลิซยิ้มกว้าง ดวงตาทั้งสองเป็นประกาย “เธอรู้ใช่มั้ยว่า..จะหาฉันได้ที่ไหน..”
แคลร์หันหลังเพื่อจะจากไป แต่หยุดชะงักที่หน้าประตู “รอละกันน่า..”
เมื่ออยู่ตามลำพังอีกครั้ง อลิซส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้และหัวเราะกับวิถีแห่งชีวิตที่ดำเนินไปตามทางของมัน
และในคืนนั้นเอง เมื่อทั้งสองพากันทิ้งตัวลงบนเตียง ริมฝีปากและมือของพวกเธอก็พากันเดินทางสัญจรไปยังดินแดนแห่งใหม่ เธอได้ตัดสินใจแล้วว่า ไม่มีสิ่งใดที่หวังจะได้มา..มากไปกว่าสิ่งนี้อีกแล้ว
End.
1 ความคิดเห็น:
มาถึงตอนสุดท้ายแล้วล่ะ สำหรับฟิกแปลเรื่องนี้ อิอิ
แหมๆๆๆ.. แคลร์อ่ะ ขี้หึงจังเลยน้า อลิซไม่มองหรอกน่า ไอ่ดำหัสลวหลิมที่เป็นนายแบบโฆษณานาฬิกานั่นน่ะ.. ไม่ใช่สเป็ค.. ฮ่าๆๆๆ..
ภารกิจทุกอย่างเสร็จสิ้น.. เหล่าผู้รอดชีวิตได้อยู่บนเรืออาร์คาเดีย อยู่กันอย่างมีความหวังและสงบสุข.. แต่ยังมีคนบางคนยังคงทำหน้าที่อย่างแข็งขัน นั่นมันไม่ใช่เพราะหน้าที่ แต่มันเป็นความรู้สึกที่อยากปกป้องของอลิซต่างหาก เพราะอลิซเองก็ยังคงโทษตัวเองอยู่เสมอว่าเป็นเพราะเธอเรื่องแบบนี้ถึงได้เกิดขึ้น..
แต่มันไม่ใช่หรอกนะอลิซ.. อย่างที่แคลร์พูดนั่นล่ะ หัดโยนเอาความคิดที่โทษตัวเองทิ้งไปซะบ้าง ลืมๆมันไป อย่าใส่ใจมัน.. แล้วอลิซก็จะอยู่แบบมีความสุขมากขึ้น จะได้ไม่ต้อวเครียดไปกับเรื่องที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อนี้.. แต่ตอนนี้เรื่องนั้นมันก็จบลงแล้วนะ ทุกคนปลอดภัย รวมถึงคนที่อลิซอยากจะปกป้องมากที่สุด.. สาวผมแดงขี้โมโหคนนี้ไง.. อิอิ..
ว่าแต่.. เวทย์มนต์คลายเครียดของแคลร์เนี่ย ดีจังเลยนะ อลิซติดเข้าไปเต็มๆเลยอ่ะ ไม่ยอมหยุดด้วยนะ.. ฮ่าๆๆๆ.. แต่ก็นะ ใครกันที่จะช่วยคลายเครียดได้ดีในเวลาแบบนี้ถ้าไม่ใช่คนรักอ่ะ.. อิอิ
"ตอนนี้ทำงานก่อนนะ ไว้คืนนี้เราค่อยต่อ".. สายตาของแคลร์บอกว่างี้อ่ะ ก่อนจะออกไปหาเคมาร์ทอ่ะ.. ฮ่าๆๆๆ.. เชิญตามสบายเลยนะ เพราะเรื่องมันกำลังจะเริ่มต้น ดูแลกันและกันให้ดีๆล่ะ.. อิอิ
ขอบคุณค่า ที่แปลเรื่องให้อ่านกันอย่างต่อเนื่อง ถึงเรื่องนี้จะจบแล้ว แต่ข้าพเจ้าก็ยังคงติดตามงานของท่านอย่างต่อเนื่องนะคะ.. เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ.. สู้ๆๆ.. ^^
แสดงความคิดเห็น