Rated: M [later]
English - Romance/Friendship
Fandom: Resident Evil: Afterlife.
Pairing: Alice/Claire
By : startaxriotinme / Fanfiction.net
Translated to Thai : Anhy
Chapter 1 : Alexithymia
มีบางสิ่งบางอย่างคล้ายเป็นเส้นขนานที่เราไม่อาจพบมันได้ แต่มันก็ยังอยู่ตรงนั้นเสมอข้างๆเรา และในที่นี้ก็คือ..อลาสก้า ในแบบความคิดของอลิซ เพราะมันเป็นสถานที่น่าตื่นเต้นที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมาในชีวิต ขณะที่เธอขับเครื่องบินฝึกของทหารโซเวียตสีแดงลำนี้ผ่านมา และบินอยู่เหนือผลึกน้ำแข็งที่ก่อตัวเป็นกำแพงสูงตระหง่าน กระทั่งภูเขาหิมะ ลมหายใจของเธอเองยังคงอยู่ แต่เหมือนถูกทำให้หายไปกับสิ่งที่ได้เห็นเหล่านี้
อลิซขยับมือขึ้นเพื่อเปิดสวิตซ์กล้องบันทึกภาพเคลื่อนไหวที่พกติดตัวเสมอของเธอและเริ่มพูดขึ้น
“วันที่ 3 พฤษภาคม 16 นาฬิกาของวันที่ 177 ที่ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิต ฉันอยู่ที่ 58.37 องศาเหนือ 134.58 องศาตะวันตกในที่พิกัดสำหรับอาร์คาเดีย
แต่ไม่มีสัญญาณของมันในแผนที่หรือเรดาห์ ฉันหวังว่าแคลร์ และคนอื่นๆคงจะไปถึงที่นั่นแล้ว..”
อลิซส่ายศีรษะของเธอด้วยความหงุดหงิดใจเล็กน้อย และปิดกล้องนั่น มันเป็นเวลาหกเดือนมาแล้วที่เธอเดินทางอย่างยากลำบากมาจากประเทศญี่ปุ่น พบปะพูดคุยกันกับผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ ในความคิดของเธอนั้น อลิซจินตนาการถึงการรวบรวมผู้รอดชีวิตเหล่านั้น แล้วสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ เธออยากให้ความคิดนั้นเป็นไปได้จริง
เธอเห็นอาร์คาเดียได้จากการมองลงไปจากท้องฟ้า มันเป็นเมืองเล็กๆ แต่เจริญรุ่งเรือง มีคนอยู่ทุกๆที่ เธอจอดเครื่องบินลงกับผืนดิน หลบหลีกออกจากยานพาหนะอื่นๆ ผู้รอดชีวิตคนอื่นๆก้าวเข้ามาทักทาย ท่ามกลางคนพวกนั้นมี เคมาร์ทกับแคลร์ อยู่ด้วย เท้าทั้งสองของเธอแตะพื้นดินได้เพียงไม่กี่นาที เคมาร์ทก็เข้ามากอดเธอจนแน่น นานหลายนาทีทีเดียว และเมื่อในสุดเวลาที่เด็กสาวยอมปล่อยตัวเธอ แคลร์ก็เดินเข้ามาหา รอยยิ้มฉาบบนใบหน้าตามสไตล์และเอ่ยพูดอย่างเรียบๆว่า “กว่าจะมาได้..นานเลยนะ..” สาวผมแดงนั่น ทีแรกดูคล้ายจะไม่ใส่เธอเลย แต่เมื่ออลิซใช้สองแขนของเธอโอบรอบตัวของเจ้าหล่อน แคลร์ก็กลับกอดตัวเธอแน่น ต่อมาสองคนในบรรดาพวกเขาก็พาเธอเดินเที่ยวภายในเมือง เคมาร์ทเล่าเรื่องต่างๆให้เธอฟังด้วยความกระตือรือร้น และนี่ก็ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่อลิซได้เป็นส่วนหนึ่งของหมู่คน
มันเป็นจินตภาพอันสดใสที่ทำให้เครื่องบินลำเล็กของเธออุตส่าห์ดั้นด้นมา และเวลานี้มันกำลังเข้าใกล้ความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เธอเคยเห็นในจากหนังสือเล่มนั้น 18 เดือนที่ผ่านมา และใช่..เธอเกือบจะรู้สึกได้ถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นของเพื่อนๆ เธอปรารถนานั้นมากกว่าสิ่งใดที่เธอเคยต้องการมัน
เธอใช้เวลาน้อยกว่าสองชั่วโมงในการมองพิจารณาออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน ในขณะนี้ที่เธอกำลังบินอยู่เกือบจะเหนือด้านบนของมัน มีบางอย่างที่ให้ความรู้สึกกับเธอว่า..ไม่ใช่ ไม่มีอาร์คาเดียในสายตาเธอ จอเรดาห์ หรือจากข้อมูลที่บันทึกไว้สำหรับยานพาหนะ
มันอยู่ที่ไหนกันนะ ? อลิซเกิดความสงสัย เธอจึงนำเครื่องบินขนาดเล็กของเธอบินวนรอบเหนือพื้นที่ที่เธอคิดว่ามันจะต้องเป็นจุดนั้น หลายครั้งผ่านไป ก็ไม่เจออะไรมากกว่าความว่างเปล่า ในที่สุดเธอก็นำเครื่องลงจอด หวังเผื่อว่าเธอจะเจอมัน เจออาร์คาเดีย จากการหลุดพ้นสิ่งบดบังเมื่อเธอบินอยู่บนท้องฟ้า
เมื่อเครื่องบินแล่นลงจอดได้เป็นที่เรียบร้อย อลิซก็นำตัวของเธอออกมาจากเครื่องบิน ยืนอยู่บนปีกข้างหนึ่งของมัน หวังสังเกตสิ่งต่างๆรอบๆกาย มันเหมือนสุสาน สุสานเครื่องบิน มีเครื่องบินมากมาย หลายขนาดอยู่ตรงนั้น เกลื่อนพื้นที่ ทุกลำดูเหมือนจะถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย ความคาดหมายและความหวังทั้งหมดของเธอก่อนหน้านี้ ลดน้อยถอยหลังโดยทันที เธอก้าวลงจากเครื่องบิน เพื่อเดินสำรวจสถานที่ มันไม่มีการต้อนรับใดๆเลย หากมีผู้คนอยู่ที่นี่บ้างจริงๆแล้ว พวกเขาคงจะได้เห็นเธอแล้วอย่างแน่นอน
ในตอนปลายของลานจอดเครื่องบิน มีเฮลิคอปเตอร์สองลำอยู่ที่นั่น เป็นทางที่จะนำไปสู่หาดทราย เธอคิดไปว่ามันอาจจะมีอะไรดีๆกว่ายืนอยู่ตรงนี้ ถ้าลองเดินตามทางนั้นไป
อลิซหยุดนิ่งงัน เพราะตรงชายหาดนั่น มีเครื่องบินของอัมเบรลล่าอยู่
สองเท้าของเธอเองนำเธอเดินไปอย่างรวดเร็วเพื่อให้ถึงตัวของเฮลิคอปเตอร์ลำนั้น แต่มันก็เหมือนเดิม ว่างเปล่า.. อลิซพยายามสะกดใจตัวเองไม่ให้ตระโกนร้องออกมาด้วยผิดหวัง เธอจึงเริ่มต้นการสำรวจมันแทน สังเกตดูร่องรอยต่างๆในนั้น เผื่อว่าจะมีรอยเลือด หรือการต่อสู้ ขณะที่เดินมาถึงส่วนหน้าของเฮลิคอปเตอร์ ในห้องเครื่องบิน มีสีแดงของอะไรบางอย่างเข้ามาสู่สายตา เธอหยิบมันขึ้นมาดู หนังสือเล่มนั้นเองที่เธอเจอมันในเนวาดา
มือของเธอพลิกหน้ากระดาษของหนังสือนั้นไปเรื่อยๆ หวังว่าจะเจออะไรบางอย่างเพิ่มเติมจากที่มันเคยมีอยู่ ใช่จริงๆ มีลายมือสวยงามเพิ่มเข้ามา เล่าเรื่องการเดินทางที่ยาวนานกว่าจะมาถึงอลาสก้า บันทึกไว้เมื่อสามเดือนที่แล้ว
“สุดท้ายเราก็มาถึงที่นี่แล้ว..อาร์คาเดีย..”
อลิซพลิกหน้าต่อไปของสมุดและพบอะไรมากกว่าที่เห็นเมื่อครู่ในตอนสุดท้าย
“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง..”
เมื่อรู้สึกไม่สู้ดีนัก อลิซจึงเดินไปพร้อมหนังสือในมือของเธอ นั่งลงกับท่อนไม้ตรงชายหาด หลังจากที่ตั้งกล้องบันทึกภาพที่พกมาด้วยไว้ไม่ไกลนัก
“3 พฤษภาคม 18 : 30 นาฬิกา อาร์คาเดียไม่มีอยู่จริง มีเพียงความว่างเปล่าที่นี่ กับชายหาดเท่านั้น..”
คลื่นซะชายฝั่งมากระทบเท้าทั้งสองของเธอ ในขณะที่สายตาของเธอเองมองเหม่อไปยังผืนน้ำอันกว้างใหญ่เบื้องหน้า
“แต่เราทุกคนได้ยินการส่งสัญญาณนั้น ต้องมีใครบางคนส่งมันมา บางคนที่นำผู้คนมาที่นี่ แต่ทำไม.. และพวกเค้าไปไหนกันนะ..”
เธอลุกขึ้นและขยับเข้าไปใกล้กล้อง คุกเข่าลงตรงหน้ามัน
“ปิดการบันทึกภาพวันที่ 177 ฉันไม่รู้ว่าจะทำแบบนี้ไปในนานเท่าไหร่..” อลิซสารภาพกับกล้อง สีหน้าบ่งบอกอารมณ์มากมาย และมากกว่าทั้งหมด เธอรู้สึกผิดหวังอย่างมาก “ถ้าฉันเป็นคนสุดท้าย ถ้าไม่มีใครแล้วล่ะ ไม่มีใครที่จะดูเทปนี้..”
เสียงเธอหยุดเล็กน้อย และเอ่ยต่อ “หรือนี่คือโทษของฉัน.. ที่ปล่อยให้ทุกอย่างนี้เกิดขึ้น..”
อลิซไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไป หรือไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปจากนี้ แต่ความคิดที่แล่นเรื่อยๆไปของเธอก็ถูกหยุดลง เมื่อมันถูกขัดจังหวะด้วยภาพเลือนรางของใครบางคนวิ่งผ่านเข้ามาทางหางตา
เธอลุกขึ้นทันทีและตะโกนร้องขึ้นตามหลังใครคนนั้น “เฮ้.. หยุด..! รอเดี๋ยว..!”
อลิซออกวิ่งในทันทีไปในทิศทางที่ร่างนั้นหายลับไป วิ่งอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยทีเดียว
“เดี๋ยว.!. หยุดก่อน.. ช่วยหยุดก่อน..!”
เธอลดความเร็วลง จนกระทั่งมาถึงตรงส่วนกลางของสถานที่ที่เหมือนเป็นสุสานเครื่องบิน เธอไม่เห็นร่างนั้นที่วิ่งไล่ตามอีกแล้ว
หรือว่าเธอจะหลอนไปเองกันแน่นะ..
“ฮัลโล..?” ไม่มีเสียงตอบ “ฮัลโล..? ตอบฉันหน่อย..”
สิ่งเดียวที่ตอบเสียงเรียกของเธอก็คือ ประตูของเครื่องบินลำหนึ่งแกว่งไปมา อลิซชักอาวุธปืนคู่กายขึ้นมาสองกระบอก ถือมันด้วยมือคนละข้าง เตรียมตัวพร้อม และค่อยๆเดินเข้าไปใกล้เครื่องบินลำนั้น มือทั้งสองของเธอสั่นไหว ขณะก้าวเข้าไปใกล้มากยิ่งขึ้น ด้วยหัวใจสั่นระทึก เพราะสิ่งที่คาดว่ามันต้องมีอะไรน่ากลัวอยู่ตรงนั้น
เธอผ่อนคลายตัวเอง เมื่อเดินมาถึงประตูเครื่องบินที่ยังแกว่งไปมาเพราะแรงลม
-เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมาจากด้านในนั้น ระหว่างที่นกกาจำนวนหนึ่งบินออกมายังทิศทางของเธอ อลิซเบี่ยงตัวหลบพวกมัน แต่ก็ไม่พ้นพวกมันบางตัวที่บินเข้ามาชน และเมื่อทุกอย่างดูปลอดภัยดี ปราศจากเจ้าพวกนกกานั่น เธอจึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากที่กลั้นมันไว้
จากนั้นก็มีบางอย่างพุ่งเข้ามากระแทกศีรษะด้านหนึ่งของเธอ
อลิซล้มลงสู่พื้น รู้สึกสับสนและมองเห็นดาวเต็มไปหมด เธอไม่เหลือเวลาพอที่จะฟื้นตัว เพราะบางคนมาอยู่บนตัวเธอ พยายามจะแทงเธอด้วยมีดในมือ อลิซดิ้นรนและปัดป้องตัวเองให้พ้นจากการถูกของมีคมนั่นเสียบแทง แต่บางคนที่กำลังอยู่บนตัวเธอนั้น -ผู้หญิง หล่อนแข็งแรง จนอลิซต้องใช้กำลังทั้งหมดของเธอเพื่อสะลัดตัวเองออกจากจุดนั้น
อลิซรีบรุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ผู้หญิงคนนั้นก็เข้าปะทะเธออีกครั้ง มีดพุ่งเข้ามาใกล้เธอ จนรู้สึกว่ามันเกือบจะโดนส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวเธอแล้ว เธอหลบหลีกมันหลายต่อหลายครั้ง ก่อนที่จะสามารถทำได้สำเร็จ ร่างของสาวคนนั้นถูกแรงเตะจากเธอกระเด็นไปกระแทกปีกเครื่องบินและลื่นลงมานอนแน่นิ่งกับผืนดิน
สายตาของเธอมองทอดลงไปยังร่างนั้น อลิซพลิกร่างนั้นด้วยเท้าที่สวมรองเท้าบู๊ตของเธอ
เธอไม่น่าจะได้รับสิ่งนี้เลย ไม่น่าจะได้เห็นในสิ่งนี้ ผู้หญิงสาวที่เข้ามาจู่โจม มุ่งทำร้ายเธอก็คือ.. แคลร์ เรดฟิลด์... เสียงอุทานเบาๆอย่างผิดหวังและหวาดหวั่นดังออกมาจากปากของเธอ
ขณะที่สายตาของเธอเองมองคนคุ้นเคยนั่นไปเรื่อยๆ สาวอายุน้อยกว่าเธอ ปกคลุมไปด้วยสิ่งสกปรก ร่างกายเปรอะเปื้อนดินโคลน และมีบางอย่างไม่ปรกติกับร่างนั้น มีวัตถุบางอย่างรูปร่างคล้ายแมลง หรือแมงมุมที่มีเข็มอยู่ตามขาของมัน ฝังอยู่ตรงผิวหน้าอกของแคลร์ และเมื่อเธอใช้นิ้วปัดมัน มันขยับเล็กน้อย แต่ก็กลับมาอยู่ที่เดิม
นี่มันอะไรนะ..?
แต่ไม่ว่ามันจะคืออะไร.. ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า.. อัมเบรลล่าต้องมีส่วนกับเรื่องนี้แน่นอน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และเจ้าวัตถุนี้จะต้องเกี่ยวกับที่แคลร์ทำเรื่องแบบนี้กับเธอ มันคืออะไรบางอย่างที่ควบคุมหล่อนแน่ๆ
อลิซอุ้มแคลร์ขึ้นด้วยสองแขนของเธอเองอย่างระมัดระวัง สาวที่สลบอยู่พิงศีรษะไว้กับบ่าข้างหนึ่งของเธอ ความรู้สึกผิดพุ่งเข้ากระแทกหัวใจเธออย่างแรง
ฉันไม่รู้ว่านี่คือ..แคลร์ เธอมีเหตุผลและก็ยากที่จะทำอะไรอย่างอื่นได้ดีกว่านี้ ในเวลานั้น สถานการณ์มันบังคับให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้
อลิซไม่ได้อุ้มแคลร์ไปไกลมากนัก แค่ด้านหน้าของเครื่องบิน แต่ก็นานพอที่จะรู้ว่า แคลร์ตัวเบามากแค่ไหน ต้องเป็นเวลาไม่ต่ำกว่าสามเดือนที่แคลร์อยู่ตามลำพังในอลาสก้า น่าสงสัยนักว่า เธอรอดชีวิตมาได้ยังไง นี่คือเป็นเหตุผลว่าทำไม ร่างกายของแคลร์ถึงได้ดูเปรอะเปื้อนเช่นนี้ เสื้อผ้าขาดวิ่น และมีกลิ่นไม่น่าพึงประสงค์มากนัก ไม่ใช่กลิ่นกุหลาบแน่นอน
แต่กว่าอะไรทั้งหมดนั้น เธอไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาบอกได้ว่า มันอัศจรรย์มากแค่ไหนที่เป็นแคลร์อยู่ที่นี่ ร่างกายของแคลร์ช่างอบอุ่น ดูแข็งแรง เป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันว่า ไม่ใช่มีเพียงเธอที่เหลืออยู่
อลิซวางแคลร์ลงพิงไว้กับล้อหน้าของเครื่องบิน และใช้เชือกมัดข้อมือทั้งสองของเจ้าหล่อนไว้ มัดโยงไว้กับล้อหน้านั่น มันอาจจะทำให้ไม่สบายเท่าไหร่นัก แต่มันก็เพื่อความปลอดภัยของเธอเองที่จะไม่ถูกคุกคามจากสาวผมแดงคนนี้
เมื่อรู้สึกว่าสาวอายุน้อยกว่าไม่ได้เป็นอันตรายใดๆในเวลานี้ อลิซจึงนำวัตถุประหลาดคล้ายแมงมุมนั้นออกจากอกของแคลร์ มันไม่ง่ายเลยที่จะดึงมันออกมาเหมือนที่เธอคาดไว้ เพราะมันฝังตัวแน่นมาก และมันคงไม่พ้นที่จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ เมื่อนำมันออกมาได้สำเร็จ
“ขอโทษ..” อลิซเอ่ยขึ้นทั้งที่แคลร์ยังคงไม่รู้สึกตัว
อลิซมองวัตถุประหลาดในมือเธออย่างพิจารณา ก่อนที่จะนำมันเก็บ และเธอก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่จำเป็นต้องทำก่อนที่แม่สาวผมแดงจะตื่นขึ้น และที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมดก็คือ.. ทำความสะอาดตัวหล่อนซะ
เป็นเวลาไม่นานนักที่อลิซใช้จัดเตรียมของจำเป็นต่างๆ ตะเกียง เสบียงอาหารกระป๋องต่างๆ
แบตเตอร์รี่กล้อง กระป๋องโลหะ เธอวางตะเกียงและกระป๋องซุปไว้บนพื้นข้างๆตัวแคลร์ และนำของอย่างอื่นที่ไม่คิดว่าจะจำเป็นต้องใช้กลับสู่เครื่องบิน ซึ่งตอนนี้เธอมี เสื้อผ้า ผ้าขนหนู เสื้อผ้าชุดสำรอง ใช่..ชุดสำรองของเธอคนเดียว แต่มันก็ต้องกลายมาเป็นชุดเดียวของแคลร์เหมือนกันแล้ว จากนั้นก็เดินไปตักน้ำที่ลำธารใกล้ๆด้วยกระป๋องที่มีอยู่ เก็บไม้แห้งมาจำนวนหนึ่ง เพื่อใช้ในการก่อกองไฟ เพราะคาดว่า แม้ในเดือนพฤษภาเช่นนี้ อากาศตอนกลางคืนก็ยังมีโอกาสที่จะเย็นได้
เมื่อการเตรียมการของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย อลิซก็พาตัวเองมานั่งลงใกล้ๆกับเครื่องบินตรงส่วนที่เธอผูกแคลร์เอาไว้ เพื่อรอเวลาที่แคลร์จะตื่นขึ้น ระหว่างนั้นก็เอาวัตถุประหลาดรูปร่างเหมือนแมงมุมขึ้นมาพิจารณาท่ามกลางแสงของตะเกียง
พอแคลร์ตื่นขึ้น เธอดิ้นด้วยความพยายามที่จะหลุดจากการถูกมัด คล้ายกับสัตว์ป่าที่ติดกับดัก สายตาก้าวร้าวของเธอดูอ่อนลงเล็กน้อย แต่เวลาที่มองมาหาอลิซ มันก็ยังเป็นสายตาที่ดูว่างเปล่า
“เฮ้.. เฮ้.. ไม่เป็นไรนะ..” อลิซพูดขึ้น และขยับตัวเข้ามาหา
แคลร์ส่งเสียงคำรามใส่หน้าเธอและดิ้นรนต่อไป
อลิซจึงต้องเอ่ยขึ้นใหม่ “ขอโทษด้วยนะที่ต้องทำแบบนั้น แต่ฉันจำเป็นต้องเอาเจ้านี่ออกจากตัวเธอ นี่มันคืออะไร.. ใครทำแบบนี้กับเธอเหรอ..”
สาวผมแดงแสดงตอบกลับมาเพียงการขยับตัว คล้ายกับว่าเธอหมดความสามารถที่จะพูดจา
“เธอรู้รึเปล่าว่า..ฉันเป็นใคร..” อลิซเอ่ยถามขึ้นอย่างผิดหวังกับการที่ไม่ได้รับอะไรตอบสนองกลับมา “ฉันชื่ออลิซ เราเจอกันที่ทะเลทรายเนวาดา สิบแปดเดือนที่แล้ว ฟังคุ้นๆมั้ย..? ไมกี้ คาร์ลอส แอลเจ เคมาร์ท..”
เธอหวังว่าการพูดถึงสาวน้อยผมบลอนด์จะช่วยจุดประกายอะไรบางอย่างในใจแคลร์ได้ แต่สายตาของแคลร์ก็ยังคงว่างเปล่าเหมือนเดิม เหมือนว่าทุกๆอย่างนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมา กระนั้น..เธอยังคงพยายามต่อไป
“เธอมากับเฮลิคอปเตอร์และผู้รอดชีวิตจำนวนหนึ่ง มุ่งหน้ามาอลาสก้า อาร์คาเดีย.. จำได้มั้ย..?”
แคลร์ดิ้นมากยิ่งขึ้น และขยับแขนต่อต้านเชือกที่มัดเอาไว้ แต่ไม่ยอมพูดอะไรเลย
อลิซส่งเสียงถอนหายใจออกมา -เอาน่า..อย่างน้อยฉันก็เจอเธอแล้ว- เธอคิด และส่ายศีรษะไปมาด้วยความผิดหวัง ...-ถ้าเธอจำได้ ถ้าความจำเธอกลับมา ฉันก็คงจะได้คู่หูตัวจริงสินะ แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น ฉันต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเธอ-
คิดได้ดังนั้น อลิซจึงก่อกองไฟ มีดและท่อนเหล็กช่วยให้งานง่ายขึ้นกว่าเดิม พอไฟติดแล้ว ก็นำถังน้ำที่ตักน้ำมาเมื่อสักครู่มาตั้งไว้ใกล้ๆ ด้วยคิดว่า ถ้าเอาผ้าชุปน้ำเย็นมาเช็ดตัวแคลร์ละก็ หล่อนคงจะต้องป่วยแน่ๆ
น้ำอุ่นได้ที่ อลิซจึงนำผ้ามาชุบน้ำ บิดจนหมาด ขยับตัวเข้ามาใกล้สาวผมแดง หากแต่ดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็มองเธอกลับมาอย่างถมึงทึง แต่เธอก็หาได้หวั่น เธอค่อยๆวางมือข้างที่ว่างไว้บนหัวเข่าของแคลร์ เพื่อช่วยการทรงตัวของตัวเอง เมื่อใช้ผ้าด้วยมืออีกข้างเช็ดแก้มข้างหนึ่งให้เธอคนนี้
แคลร์สะบัดหน้าและเกือบจะกัดมืออลิซ
“เฮ้..” อลิซพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “ฉันกำลังพยายามจะช่วยเธอนะ เรามีทางเลือกอยู่สองทาง ทางหนึ่งคือฉันเทน้ำราดหัวเธอ หรือเธอจะให้ฉันช่วยทำความสะอาดเธอให้.. จะเอาทางไหนดี..”
สาวผมแดงหรี่ตาลงเมื่อได้ฟังประโยคที่อีกฝ่ายบอก เธอทำเหมือนจะไม่พอใจนัก แต่เมื่อผ้าเปียกหมาดนั่นสัมผัสแก้มเธออีกครั้ง แคลร์ก็ไม่ขัดขืน อลิซจัดการกับใบหน้าของสาวตรงหน้าอย่างดี สิ่งสกปรกหายไป แคลร์จึงกลับมาเป็นสาวคนเดิมที่เธอจำได้แล้วตอนนี้ ยกเว้นสายตาที่ไม่เหมือนเดิม
อลิซใช้ปลายนิ้วไล้เบาๆตรงแก้มของแคลร์
“ฉันลืมไปเลยนะว่า..เธอสวยแค่ไหน..” เธอรำพึงออกมา เกือบจะไม่รู้ว่าเธอพูดดังเท่าไหร่กับประโยคนี้
มีบางอย่างฉายออกมาในแววตาของแคลร์ แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว มันคล้ายกับว่าเธอมีอาการอ่อนลงจากคำพูดประโยคนั้น ยังคงตื่นตัวแต่นิ่งเฉย ไม่ดื้อดึงแล้ว นี่จึงเป็นประโยชน์กับอลิซในการจัดการทำความสะอาดร่างกายส่วนที่เหลือของแคลร์ให้ มันยากนิดหน่อยและใช้เวลาพอดู แต่ก็สามารถผ่านไปได้ด้วยดี เสร็จแล้วก็ใช้ผ้าแห้งเช็ดตัวให้แคลร์ซ้ำ ด้วยความลำบากอีกเล็กน้อย จากนั้นอลิซก็จัดการแต่งตัวให้แคลร์ด้วยชุดใหม่ที่สะอาดซึ่งเธอเตรียมมา
จัดการให้แคลร์นั่งในตำแหน่งเดิม มัดติดกับเครื่องบินอย่างเมื่อครู่ อลิซก็อุ่นอาหารด้วยการนำไม้มาวางในลักษณะคล้ายเตาอย่างง่าย ทั้งที่เธอไม่ค่อยจะวุ่นวายนักกับเรื่องนี้ กับเรื่องการอุ่นมัน แต่ก็คิดว่าคงเป็นการดีสำหรับร่างกายของแคลร์ที่จะได้ทานของอุ่นๆ
ซุปถูกอุ่นเรียบร้อย อลิซก็จัดแจงเตรียมช้อนและเปิดกระป๋อง
“หิวมั้ย..?” เธอถามขึ้นและมองมายังผู้ร่วมทาง
สาวผมแดงยังคงไม่พูดจาเหมือนเดิม แต่ก็ทำในเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะทำ หล่อนพยักหน้า
อลิซยิ้มออกมาได้กับความก้าวหน้าไปหนึ่งขั้น แม้จะเล็กน้อยมากก็ตาม
อลิซทิ้งส่วนของเธอไว้กับกองไฟตามเดิม แล้วจึงนำส่วนที่เตรียมไว้ให้แคลร์ขึ้นมา ขยับตัวมาใกล้ ตักซุปขึ้นแล้วเป่าเล็กน้อยให้มันเหลือเพียงอุณหภูมิอุ่นๆที่จะสามารถกลืนได้อย่างสบาย เธอระมัดระวังในการตักอาหาร ด้วยเกรงว่ามันจะหกเลอะเสื้อผ้าชุดใหม่ของหล่อน นำมันขึ้นระดับริมฝีปากของสาวผมแดงคนเดิม แคลร์ดูเหมือนจะตะขิดตะขวงใจกับการถูกป้อนอาหาร แต่ก็ไม่พยายามที่ผลักไสหรือปฏิเสธการบริการของอลิซ
ใช้เวลาไม่นานกับการเสริฟอาหารเข้าสู่ริมฝีปากสวยๆของแคลร์ อลิซเป็นปลื้มกับการทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ แล้วตอนนี้เธอก็รู้สึกหิวมากแล้วเหมือนกัน เพราะท้องเธอส่งเสียงร้องออกมา และในระหว่างที่เธอกำลังทานอาหารส่วนของตัวเองอยู่ แคลร์หลับไปเสียแล้ว
อลิซมองสาวอายุน้อยกว่าอย่างพิจารณาเป็นเวลาชั่วครู่ ระลึกถึงเนวาดา คล้ายกับว่ามันนานมาแล้ว ตอนนี้เธอหวังว่า เธอไม่ได้ส่งพวกเขามากับการเดินทางบ้าๆเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุด เธอก็ไม่ควรที่จะรีบไปแก้แค้นอัมเบรลล่าตามลำพังนั่น เธอน่าจะรู้สึกได้ว่า เธอควรจะมากับพวกเขา มาดูให้เห็นกับตา ให้แน่ใจว่าพวกเขาปลอดภัย
“ฉันขอโทษนะที่ฉันปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเธอ..” อลิซเปรยออกมาเบาๆ ทั้งที่เธอรู้ว่าไม่มีใครได้ยินมัน
ฉันยังไม่รู้ว่าจะทำยังไง.. แต่ฉันจะทำมันให้ได้.. ฉันจะต้องให้มันถูกต้องให้ได้ ไม่ว่าวิธีใดก็วิธีหนึ่ง..
To be continue…..
1 ความคิดเห็น:
อุ๊ย.. มาใหม่อีกแล้ว.. เย้ๆๆ.. \^o^/
น่าสงสารอลิซเนาะ เดินทางคนเดียวมาเป็นเวลานาน แถมยังต้องฟันฟ่าอุปสรรคต่างๆมาด้วยตัวคนเดียว แต่แล้วแสงแห่งความหวังก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า เมื่อมีสัญญาณมาจากอาเคเดียว่ามีผู้รอดชีวิต และสิ่งที่มอบให้ผู้รอดชีวิตกลุ่มสุดท้าย หนังสือเล่มเล็กนั่น มันก็ยิ่งน่าเชื่อว่าคนที่เธอเชื่อว่ารอดชีวิตจะต้องมุ่งหน้าไปที่นั่นแล้วแน่นอน..
แต่เมื่อมาถึงที่หมาย อาเคเดีย กลับไม่พบใครเลยนอกจากพื้นที่โล่งร้างว่างเปล่า และผืนทะเลกว้างใหญ่.. ไร้ผู้คน.. ความหวังนั้นก็ริบหรี่จนแทบจะหายไปถ้าไม่บังเอิญว่าหางตาไปแอบเห็นเงาใครวิ่งผ่านไป.. นั่นมันเป็นพรหมลิขิตแน่นอน พลังแห้งด้ายแดงที่เชื่อมทั้งสองคนไว้ และพาให้มาเจอกัน (อิอิ.. น้ำเน่าไปปะ..)
ดีใจนะเนี่ยที่สองคนนี้มาเจอกัน แถมอลิซก็ดูแลเทคแคร์สาวผมแดงนั่นเป็นอย่างดี แน่นอน.. ก็เพราะคิดถึงมาตลอดนี่นา.. อิอิ..
ตอนต่อไปจะเป็นยังไงน้า.. ข้าพเจ้าชักอยากจะรู้แล้วล่ะ ว่าทางรักจะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบหรือเปล่า แต่ก็ขอให้ไม่มีอุปสรรคนะจ๊ะ.. ^^
ขอบคุณนะคะไรเตอร์.. ที่แปลฟิกดีๆแบบนี้ให้อ่านกันอย่างต่อเนื่อง ข้าพเจ้าขอเป็นกำลังใจให้ตลอดไปจ้า.. อิอิ
แสดงความคิดเห็น